เห็ดหลินจือทางการแพทย์-เห็ดหลินจือรักษาโรค
เห็ดหลินจือกับทางการแพทย์
สารสำคัญที่พบในเห็ดหลินจือกว่าร้อยชนิด มีสรรพคุณที่สำคัญทางการแพทย์ได้แก่
- เห็ดหลินจือเป็นแอนติออกซิแดนต์ สามารถขจัดอนุมูลอิสระลดการเกิดของมะเร็ง ป้องกันและต้าน มะเร็ง
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ลดอาการภูมิแพ้
- ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด
- ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยควบคุมอาการเบาหวาน
- ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันในสมองและหัวใจ
- บำรุงตับ ป้องกันตับจากสารพิษ
- ช่วยบำบัดรักษาโรคไตเรื้อรัง ฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของไตให้ดีขึ้น
- บำรุงร่างกาย
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ นำเห็ดหลินจือมารักษาไตเรื้อรัง ระบุว่าเห็ดหลินจือ ช่วยฟื้นฟูการทำงานของไต ทางเลือกใหม่รักษาโรคไตเรื้อรังด้วยสารสกัดเห็ดหลินจือ เผยผลทดสอบเบื้องต้นช่วยผู้ป่วยกลับสู่ภาวะปกติ ระบุสรรพคุณสร้างสมดุลให้ระบบภูิมิคุ้มกัน ลดอาการไตอักเสบ ภาวะไข่ขาวรั่วในปัสสาวะ แถมยังเพิ่มประสิทธิภาพระบบไหลเวียนโลหิต และเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของไต
รศ. พญ. ดร. นริสา ฟูตระกูล ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ทีมวิจัยค้นพบวิธีรักษาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเนฟโฟรลิส ชนิด focal segmental sclerosis ที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยากดภูิมิคุ้มกัน เช่น สเตียรอยด์ โดยเปลี่ยนให้รับประทานสารสกัดจาก เห็ดหลินจือวันละ 750- 1,000 มิลลิกรัม ควบคู่กับการให้ยาขยายหลอดเลือด พบว่า ช่วยฟื้นฟูระบบการทำงานของไตให้ดีขึ้น อีึกทั้งภาวะเนื้อไตตายลดลงอย่างชัดเจน
หลังจากทำวิจัยแล้วพบว่า สาเหตุมาจากสารพิษในเลือด สารอนุมูลอิสระ และการเสียสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำให้สารซัยโตคายน์ เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเซลล์บุผิวหลอดเลือด ทำให้เกิดการหดรัดตัว ของหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้น จนเกิดความดันภายในไตเพิ่มสูงขึ้น และทำให้ไตเกิดภาวะขาดเลือดเกิดเนื้อไตตายได้
นักวิจัยกล่าว ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเนฟโฟรลิส ชนิด focal segmental sclerosis จะมีอาการเนื้อตัวบวมอย่างเห็นได้ชัด และหากตรวจเลือดและปัสสาวะจะพบภาวะไข่ขาวรั่วในปัสสาวะมากกว่า 3.5 กรัมต่อวัน ส่งผลให้โปรตีนในเลือดต่ำ ปริมาณการหมุนเวียนในเลือดไม่เพียงพอ เลือดในร่างกายพร่อง ข้นหนืดก่่่่่่่อให้เกิดการอุดตัน และยังมีภาวะเผาผลาญไขมันผิดปกติ ไขมันในเลือดสูง ภาวะต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ไตมีการอักเสบ เสื่อม และถูกทำลายจนเข้าสู่ภาวะไตวายในท้ายที่สุด
หลังจากเข้าใจถึงกลไกของสาเหตุโรคไตแล้วรศ.พญ. ดร.นริสา จึงได้นำเอาสารสกัดจากเห็ดหลินจือ
(Ganoderma Lucidum) มาทดลองกับผู้ป่วย เนื่องจากมีสรรพคุณในการช่วยฟื้นฟูระบบสมดุลของภูมิคุ้มกัน
สำหรับอาสาสมัครที่เข้ารับการรักษา เป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีอาการไข่ขาวรั่วในปัสสาวะต่อเนื่อง 5-10 ปี กำลังอยู่ในภาวะไตเสื่อมถอยลงอย่างช้า ๆ และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน หลังจากรักษาได้ราว 1 ปี พบว่าภาวะเสียสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันเข้าสู่ระดับปกติ ผู้ป่วยมีการทำงานของไตดีขึ้น ภาวะไข่ขาวรั่วในปัสสาวะลดลง และสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพของไตให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้
เห็ดหลินจือกับการรักษาโรค
แนะนำให้อ่านหนังสือ "หลิงจือ กับ ข้าพเจ้า" เขียนโดย นพ. บรรเจิด ตันติวิท ซึ่งอธิบายหลักการทำงานของเห็ดหลินจือ และประสบการณ์ในการรักษาเห็ดหลินจือให้แก่ผู้ป่วย ซึ่งคุณหมอได้เขียนไว้น่าอ่านมากราคาเล่มละ 160 บาทในที่นี้ขอประมวลความรู้ที่ได้จากหนังสือของ นพ. บรรเจิด ตันติวิท เฉพาะบางเรื่อง
เห็ดหลินจือช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือด เห็ดหลินจือมีสารไตรเทอร์ปีนอยด์ (Triterpenoids) กรดกาโนเดอริค (Ganoderic acid) และกรดลูซิเดนิค (Lucidenic acid) ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือดไม่ให้มีมากเกินไป ซึ่งไขมันและคอเลสเตอรอลเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคหัวใจ มีรายงานผลการศึกษาทางคลินิกโดยนักวิจัยชาวญี่ปุ่นในผู้ป่วย 70 ราย หลังจากให้ผู้ป่วยกินเห็ดหลินจือแบบสกัดเป็นเวลา 3 เดือนพบว่าสามารถลดคอเลสเตอรอลได้ 74.2% ซึ่งตรงกันกับรายงานผลการศึกษาทางคลินิกที่มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์เมืองเซี่ยงไฮ้ พบว่าสามารถลดไขมันในเลือด คอเลสเตอรอลได้เช่นกัน ทำให้การไหลเีวียนของเลือดดีขึ้นและช่้วยลดการอุดตันภายในเส้นเลือดของอวัยวะต่าง ๆ ได้
เห็ดหลินจือ กับ โรคหัวใจ
เห็ดหลินจือ ป้องกันเส้นเลือดอุึดตันในสมองและหัวใจ (เส้นเลือดหัวใจตีบ) เห็ดหลินจือมีสารสำคัญที่เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ ซึ่งมีคุณสมบัติละลายลิ่มเลือดที่อุดตัน ไม่ให้ลิ่มเลือดเกาะตัวง่ายเกินไป จนเกิดการอุดตันของเส้นเลือด เห็ดหลินจือไม่ได้ช่วยแค่เส้นเลือดที่หัวใจเท่านั้น ยังรวมถึงเส้นเลือดทุกแห่ง รวมทั้งเส้นเลือดในสมองด้วย เห็ดหลินจือ จึงป้องกันการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ นอกจากนั้น เห็ดหลินจือมีสารเยอร์มาเนียมที่ช่วยในการเพิ่มออกซิเจนที่สะสมในเนื้อเยื่อ เมื่ออวัยวะในร่างกายเช่น หัวใจ หรือสมอง ขาดออกซิเจนก็สามารถดึงออกซิเจนจากเนื้อเยื่อบริเวณนั้นทำให้รอดจากภาวะวิกฤต
เห็ดหลินจือช่วยบำบัดรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตายได้เพราะ
1. เห็ดหลินจือสามารถละลายลิ่มเลือดไม่ให้อุดตันได้
2. เห็ดหลินจือช่วยในการเพิ่มออกซิเจนที่สะสมในเนื้อเยื่อ ทำให้รอดพ้นหากเกิดสภาวะวิกฤตเมื่อหัวใจหรือสมองขาดออกซิเจน
3. ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือดไม่ให้มีมากเกินไป
4. คนที่เป็นโรคหัวใจรักษาด้วยแผนปัจจุบันต้องรับประทานยาไปตลอด ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าการรับประทานยาแผนปัจจุบันไปนาน ๆ ตับจะเสื่อม เห็ดหลินจือยังช่วยบำรุงตับให้ดีขึ้นด้วย
เห็ดหลินจือกับโรคไต
นพ.บรรเจิด ตันติวิท ได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับการนำเห็ดหลินจือมาบำบัดโรคไตไว้ในหนังสือ " หลิงจือ กับ ข้าพเจ้า" โดยให้เหตุผลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือช่วยรักษาโรคไตอักเสบ ไตวายได้ น่าจะเป็นเพราะ
1. เห็ดหลินจือจะช่วยละลายใยแผลเป็นให้อ่อนตัว ไม่ให้ไปรัดเส้นเลือดที่เลี้ยงไต เพื่อให้เลือดไหลไปเลี้ยงไตได้ จึงทำให้ไตทำงานได้ดีขึ้น
2. เห็ดหลินจือมีสารนิวคลีโอไทด์ มีคุณสมบัติละลายลิ่มเลือด ไม่ให้ลิ่มเลือดเกาะตัวง่ายจนทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
3. เห็ดหลินจือเป็นแอนติออกซิแดนต์สามารถขจัดอนุมูลอิสระได้
นอกจากนั้นเห็ดหลินจือมีโปรตีน Lz-8 ที่ปรับระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานเป็นปกติ รวมทั้งมีสาร
เยอร์มาเนียม และสารโพลีแซคคาไรด์ ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอีกด้วย
เห็ดหลินจือ กับ โรคตับ
ผลทางเภสัชวิทยาของเห็ดหลินจือ ในเรื่องของโรคตับ และพบว่าภายในเห็ดหลินจือมีสารสำคัญทางยาที่ใช้รักษาโรคตับ คือ
1. สารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) ในเห็ดหลินจือ มีสรรพคุณทางยาปรับปรุงการทำงานของตับ ปกป้องตับจากสารพิษ (Hepatoprotective activity ) โดยแสดงฤทธิ์ยับยั้งสารพิษ เช่น คาร์บอนเตตราคอลไรด์ โดยไม่ให้ทำลายเซลล์ตับ รวมถึงช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานดีขึ้น
2. กลุ่มสารไตรเทอร์ปีนอยด์ ( Bitter Triterpenoids) ในเห็ดหลินจือ มีฤทธิ์ในการปกป้องบำรุงและรักษาโรคตับ ประกอบด้วย กรดกาโนเดอริค (Ganoderic acid) และกรดลูซิเดนิค ( Lucidenic acid) พบว่ามีฤทธิ์ต่อต้านสารพิษที่มีต่อตับ (Antihepatotoxie) และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในตับ (Cytotoxicty on hepatoma cells) ได้กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว
3. โปรตีน Lz-8 ในเห็ดหลินจือ ช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานเป็นปกติไม่ผิดเพี้ยน รักษาโรคไวรัสตับ บี
4. สารเยอร์มาเนียม (Germanium) ในเห็ดหลินจือ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยรักษามะเร็งตับได้
เห็ดหลินจือมีคุณสมบัติที่ช่วยโรคตับแข็งได้ ก็เพราะ
1. เห็ดหลินจือช่วยทำให้ใยแผลเป็นที่ตับคลายตัว ไม่รัดเส้นเลือดและเนื้อเยื่อที่ตับ
2. เห็ดหลินจือช่วยบำรุงตับ ฟื้นฟูการทำงานของตับ กระตุ้นการเกิดเซลล์ใหม่แทนเซลล์ที่ตายไป
3. เห็ดหลินจือช่วยปรับภูมิคุ้มกันไม่ให้ทำงานผิดเพี้ยนและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
4. เห็ดหลินจือเป็นแอนติออกซิแดนต์ที่ดี สามารถขจัดอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งได้
เห็ดหลินจือ กับ โรคเบาหวาน
เห็ดหลินจือมีสารสำคัญทางยาที่ลดน้ำตาลในเลือด คือสารที่อยู่ในกลุ่มของ โพลีแซคคาไรด์ ได้แก่
กาโนเดอแรน เอ บี และซี (Ganoderans A, B, C) ช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือด ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของสารอินซูลินซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานให้แก่ร่างกาย ปัจจุบันได้มีการจดสิทธิบัตรสารสำคัญในเห็ดหลินจือคือ กาโนเดอแรน เอ บี และซี (Ganoderans A, B, C) ทำเป็นยารักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีข้อบ่งชี้ใช้ลดน้ำตาลในเลือด
เห็ดหลินจือ กับ โรคมะเร็ง
นพ. บรรเจิด ตันติวิท ได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือกับการบำบัดรักษาโรคมะเร็งได้ไว้ในหนังสือ "หลิงจือ กับ ข้าพเจ้า" ซึ่งพอจะสรุปเหตุผลได้ดังนี้
1. เห็ดหลินจือเป็นแอนติออกซิแดนต์ที่ดี สามารถขจัดอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งได้
2. เห็ดหลินจือช่วยทำให้ศักย์ไฟฟ้าของเซลล์มะเร็งต่ำลง ทำให้เม็ดเลือดขาวเข้าไปต่อสู้ทำลายเซลล์มะเร็งได้
3. เห็ดหลินจือช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายปรับสมดุลไม่ให้ทำงานผิดเพี้ยน เมื่อ
ภูมิคุ้มกันแข็งแรงก็สามารถต่อสู้กับเชื้อมะเร็งได้
4. การทำคีโม นอกจากจะทำลายเซลล์มะเร็งแล้ว เซลล์ปกติบริเวณรอบข้างก็ถูกทำลายไปด้วย ซึ่งต่างจากเห็ดหลินจือที่เห็ดหลินจือทำงานผ่านระบบภูมิคุ้มกันคือ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงทำงานเป็นปกติไม่ผิดเพี้ยน แล้วให้ภูมิค้มกันของร่างกายเรานี้เป็นตัวจัดการกับเซลล์มะเร็งเอง ทำให้เซลล์ปกติอื่นไม่โดนทำลาย เพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถแยกแยะได้ว่าเซลล์ไหนเป็นเซลล์ดีหรือเซลล์ไม่ดี
5. การทำคีโม มีผลข้างเคียงทำให้เม็ดเลือดขาวลดลง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเม็ดเลือดขาวแห้ง เพราะยาที่ใช้ทำคีโมมีพิษมาก เห็ดหลินจือสามารถช่วยกระตุ้นให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นได้ จึงลดผลข้างเคียงของการทำคีโมได้บ้าง
6. คนที่เป็นโรคมะเร็ง มักจะทานยาแผนปัจจุบันเยอะ รวมถึงทำคีโมด้วย ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีว่าการทานยาแผนปัจจุบันมากเป็นเวลาติดต่อกัน มีผลข้างเคียงคือ ตับโดนทำลาย โดยเฉพาะการทำคีโมทำให้ตับเสื่อม เห็ดหลินจือช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพตับ ทำให้ตับทำงานได้ดีขึ้น
7. เห็ดหลินจือมีความปลอดภัยสูงจัดเป็นยาบำรุงร่างกาย ยาอายุวัฒนะทานติดต่อกันได้เป็นเวลานาน
อ้างอิง
หนังสือ "หลิงจือ กับ ข้าพเจ้า" โดย นพ.บรรเจิด ตันติวิท
เห็ดหลินจือกับการรักษาโรค alternativecomplete.com
หนังสือ เห็ดหลินจือในการรักษาโรค "การแพทย์ผสมผสานและการใช้สมุนไพรรักษาโรค" โรงพยาบาลแม่ใจ จังหวัดพะเยาโดย สาธิต ไทยทัตกุล
ติดต่อสอบถาม คุณสุ 038-283565
087-7440417
คำแนะนำเพิ่มเติม
1. ควรบริโภคเห็ดหลินจือขณะท้องว่าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึม(เห็ดหลินจือไม่ระคายกระเพาะอาหาร)
2. กรณีผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง
มีโรคประจำตัวหลายอย่างแนะนำให้ทานรากเห็ดหลินจือ 2 แคปซูล ตอนตื่นนอน 1 สัปดาห์
ก่อนเพื่อบำรุงร่างกาย หลังจากนั้นถึงเริ่มทานเห็ดหลินจือ
รากและดอก
3. สำหรับผู้ที่ร่างกายมีการดูดซึมอาหารไม่ดี
การบริโภควิตามินซี 1000 มิลลิกรัม เสริมระหว่างทานอาหาร 1 ครั้งต่อวัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารที่เป็นประโยชน์ของเห็ดหลินจือได้มากขึ้น
สุขภาพจะแข็งแรงดีขึ้นเร็วแต่สำหรับผู้ที่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ปกติ
ไม่จำเป็นต้องทานวิตามินซีเสริม
เนื่องจากในรากเห็ดหลินจือมีวิตามินและแร่ธาตุครบถ้วนเพียงพออยู่แล้ว
4. ในเวลาเช้าและกลางวัน ควรรับประทานก่อนอาหาร 1
ชม.หรืออย่างน้อย 30 นาที
5. ตอนเย็น หรือ ก่อนนอน
ให้ทานเห็ดหลินจือก่อนอนหรือหลังจากทานอาหารเย็นไปแล้วอย่างน้อย 2ชม.
หรือทานเห็ดหลินจือก่อนอาหารเย็น 1ชม.แล้วแต่สะดวก
ให้ยึดหลักการทานว่าทานตอนท้องว่าง(เห็ดหลินจือไม่ระคายกระเพราะอาหาร)
6. กรณีที่ทานเห็ดหลินจือร่วมกับยาแผนปัจจุบันหรือสมุนไพรอื่น
ให้ทานห่างกัน 1ชม. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัดรักษา
ยาแผนปัจจุบันให้ปฏิบัติตามแพทย์สั่ง ส่วนเห็ดหลินจือให้ทานขณะท้องว่าง เช่น
ยาแผนปัจจุบันแพทย์สั่งให้ทานหลังอาหาร เห็ดหลินจือก็ทานก่อนอาหารได้ แต่ถ้าต้องทานเห็ดหลินจือหลังอาหารให้ทานเห็ดหลินจือหลังจากทานอาหารไปแล้ว 2 ชม
7. ถ้าเป็นโรคกระเพาะให้ทานหลินจือหลังอาหารไปแล้ว 2
ชั่วโมง
รวมคำถามที่พบบ่อยที่สุด 12 คำถาม
1.
เห็ดหลินจือตราจีอี
ผลิตที่ไหนและใช้สารเคมีหรือไม่
คำตอบ เห็ดหลินจือ ตราจีอี ลิขสิทธิ์ของ บริษัท กาโน
เอ็กเซล เอ็นเตอร์ไพรส์ สำนักงานใหญ่ประเทศมาเลเซีย สกัดจากเห็ดหลินจือแดง 6
สายพันธ์ ได้แก่สายพันธุ์แดง คิมซัน ,ยูอี,นกยูงรำแพน,รูปสมอง,รูปหัวใจ และ รูปตับ ที่มีคุณสมบัติทางยาดีที่สุด และบริษัท กาโน เอ็กเซล เอ็นเตอร์ไพรส์
มีโรงเพาะเห็ดหลินจือที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีโรงงานผลิตเป็นของตนเองตั้งอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย
ไม่มีการใช้การเคมีหรือยาค่าแมลงหรือฮอร์โมนใดๆทั้งสิ้นเมื่อสกัดและบรรจุเรียบร้อยแล้ว จะส่งมาที่สาขาลูกค้าในประเทศต่างๆ
ส่วนสาขาในประเทศไทย ใช้ชื่อบริษัทกาโนเอ็กเซล เอ็นเตอร์ไพรส์(ประเทศไทย) จำกัด
เพื่อทำ packaging ของไทย ซึ่งโรงงานตั้งอยู่ที่จังหวัดปัตตานี
ศูนย์ใหญ่ในการจัดจำหน่ายอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
2.
ดอกเห็ดหลินจือ ตราจีอี
สกัดอย่างไร
คำตอบ เห็ดหลินจือ ตราจีอี ลิขสิทธิ์ของ บริษัท กาโน
เอ็กเซล เอ็นเตอร์ไพรส์ สกัดด้วยเทคโนโลยีการสกัดเย็น โดยใช้ดอกเห็นหลินจือแดงทั้ง
6 สายพันธุ์ ซึ่งดอกเห็ดหลินจือนั้นต้องที่มีอายุ 4-6 เดือน
เอามาผ่านการฆ่าเชื้อและสกัดโดยใช้ความเย็นที่อุณหภูมิต่ำถึงขั้นติดลบมากๆและเพิ่มอุณหภูมิสูงขึ้นด้วยความรวดเร็ว
เพื่อฆ่าเชื้อและเปิดดอกสปอร์ และใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการดูดแยกเอาสปอร์ของดอกเห็ดหลินจือออกก่อน
เพื่อไม่ให้โดนความร้อนหรือเสียคุณค่าทางยา
เมื่อดอกเห็ดหลินจือสกัดเรียบร้อยแล้วจะมารวมกับสปอร์ก่อนที่จะทำการบรรจุใส่แคปซูลดังนั้น ดอกเห็ดหลินจือ
ตรา จีอี จึงเป็นเป็นดอกเห็ดหลินจือแดงสกัดผสมกับสปอร์เห็ดหลินจือ
3.
ทำไมถึงแนะนำให้ทานดอกเห็ดหลินจือคู่กับรากเห็ดหลินจือ
คำตอบ
เนื่องจากดอกเห็ดหลินจือแดงมีสารประกอบที่เป็นตัวยาสำคัญหลายชนิดเรานิยมใช้ ดอกเห็ดหลินจือแดงมาบำบัดรักษาโรคและที่นิยมกันมากคือใช้ในการบำรุงร่างกาย แต่เมื่อนำ ดอกเห็ดหลินจือมาใช้ร่วมกันพบ ว่าการบำบัดรักษาโรคและการบำรุงร่างกายดีขึ้นกว่าการใช้ ดอกเห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียว เนื่องจากรากเห็ดหลินจือมีวิตามินและแร่ธาตุที่ครบถ้วนช่วยในการบำรุงร่างกายได้ดี
และยังมีสารโพลีซัคคาไรด์และสารเยอร์มาเนี่ยมในปริมาณที่สูงช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบำบัดรักษาได้ดียิ่งขึ้น
ดังนั้นในการบำบัดรักษาและป้องกันโรคนั้น จึงแนะนำให้ใช้ดอกเห็ดหลินจือและรากเห็ดหลินจือร่วมกัน
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัดรักษารวมทั้งบำรุงร่างกายให้แข็งแรงได้เร็วกว่า
เมื่อเทียบกับการใช้ดอกเห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียว
4.
มีวิธีทานเห็ดหลินจืออย่างไร
คำตอบ ในระยะ
1-2 สัปดาห์แรกที่พึ่งเริ่มรับประทาน
ควรรับประทานเห็ดหลินจือในปริมาณน้อยก่อนเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว
จะรับประทานตอนเช้าหรือก่อนนอนก็ได้ขึ้นกับความสะดวกเมื่อร่างกายปรับตัวแล้วถึงเพิ่มปริมาณการบริโภค ในการบริโภคควรบริโภคในขณะท้องว่าง (เห็ดหลินจือไม่ระคายเคืองกระเพราะอาหาร) เช่น
ตอนตื่นนอนตอนเช้า หรือ ก่อนนอน หรือก่อนอาหาร อย่างน้อย 30 นาที ถ้าจะให้ดีก็ 1
ชม. หากจะรับประทานหลังอาหาร ควรรับประทานหลังจากอาหารไปแล้ว 2 ชม.ในกรณีที่รับประทานเห็ดหลินจือร่วมกับยาแผนปัจจุบัน
เพื่อประโยชน์ในการบำบัดรักษา 2 ต่อ คือการได้ประโยชน์จากการรักษายาแผนปัจจุบัน
และประโยชน์จากการบำบัดด้วยเห็ดหลินจือ แนะนำให้บริโภคเห็ดหลินจือกับยาแผนปัจจุบันห่างกัน
1 ชม. เพื่อประโยชน์สูงสุดไม่ควรรับประทานพร้อมกัน
แต่โดยปกติแล้วยาแผนปัจจุบันจะรับประทานหลังอาหารในขณะที่เห็ดหลินจือจะรับประทานก่อนอาหาร
หรือไม่ก็ก่อนนอน
5.
มีวิธีการทดสอบว่าเป็นเห็ดหลินจือสกัดอย่างไร
คำตอบ
ในการทดสอบเห็ดหลินจือควนทดสอบโดยใช้น้ำที่อุณหภูมิปกติ ไม่ใช่น้ำร้อน
เพื่อรักษาคงคุณภาพของสปอร์เห็ดหลินจือ
เพราะสปอร์เห็ดหลินจือเมื่อผ่านความร้อนคุณค่าจะลดลง เพื่อความสะดวกในการทดสอบให้ถอดแคปซูลออกเทเอา เฉพาะตัวยาเห็ดหลินจือลงในแก้วน้ำเทน้ำตามลงเล็กน้อย คนให้ละลายจะสังเกตได้ว่าเห็ดหลินจือจะละลายน้ำง่ายถ้าเป็นรากเห็ดหลินจือจะมีสีขาวนวล
ถ้าเป็นดอกเห็ดหลินจือแดงสกัดผสมกับสปอร์
จะมีสีน้ำตาลแดง และมีสปอร์เห็ดหลินจือปนอยู่ หากมีสีน้ำตาลแดงแต่ไม่มีสปอร์
แสดงว่าเป็นดอกเห็ดหลินจือแดงสกัดเพียงอย่างเดียวไม่ผสมสปอร์ถ้าเห็ดหลินจือละลายยาก และมีขี้เลื่อหรือเศษไม้แสดงว่าเป็นหลินจือบดธรรมดาไม่ใช่เห็ดหลินจือสกัด ส่วนในการทดสอบเปลือก แคปซูลทำจากแป้งจริงหรือไม่
ให้ทดสอบกับน้ำร้อน เนื่องจากแคปซูลที่ทำจากแป้งจะละลายน้ำได้ดีในน้ำร้อนหรือกระเพาะอาหาร
6.
ถ้าป่วยเป็นโรคมะเร็งและทำคีโมสามารถรับประทานเห็ดหลินจือด้วยได้หรือไม่
คำตอบ
ทำคีโมสามารถรับประทานเห็ดหลินจือร่วมด้วยได้
และเห็ดหลินจือยังช่วยลดอาการ ข้างเคียงที่เกิดจากการทำคีโมได้ด้วยการรักษามะเร็งด้วยการทำคีโม
จะมีผลเสียมากเนื่องจากยาที่ใช้ในการทำคีโมมีพิษสูง จะระงับการผลิตเม็ดเลือดขาว
ทำให้เม็ดเลือดขาวลดลง ร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากเม็ดเลือดขาวเป็นส่วนสำคัญ
ของระบบภูมิคุ้มกัน
การรับประทานเห็ดหลินจือจะช่วยให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดขาวมากขึ้น เพื่อรักษาระดับความสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน
เห็ดหลินจือจึงช่วยลดผลข้างเคียงที่เกิดจากการทำคีโมได้
7.
จำเป็นต้องรับประทานวิตามินซี
1000 มิลลิกรัมด้วยหรือไม่
คำตอบ สำหรับผู้ที่ระบบการดูดซึมสารอาหารดี
ไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินซี เพราะใน รากเห็ดหลินจือมีวิตามินทีมากเพียงพออยู่แล้ว แต่สำหรับบางท่านที่ระบบการดูดซึมไม่ค่อยดี การรับประทานวิตามินซีร่วมด้วยจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารโพลีซัคคาไรด์ (Polysaccharides) ของเห็ดหลินจือง่ายขึ้น
และช่วยในการฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงได้เร็ว การทานวิตามินซี 1000 มิลลิกรัม
ไม่มีอันตรายต่อร่างกายเนื่องจากวินามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ
ร่างกายสามารถขับออกทางปัสสาวะ ในการรับประทานวิตามินซี
ควรรับประทานระหว่างทานอาหาร หรือหลังอาหารมื้อใดก็ได้ 1 เม็ดต่อวัน
แต่ไม่ควรทานวิตามินซีก่อนอาหารเนื่องจากจะระคายเคืองกระเพาะ
8.
ทานเห็ดหลินจือช่วงแรกมีอาการปวดหัว
เวียนหัว ปวดตามตัว เป็นอาการแพ้เห็ดหลินจือ หรือไม่
ต้องหยุดทานเห็ดหลินจือหรือเปล่า
คำตอบ ไม่ใช่เป็นอาการแพ้เห็ดหลินจือ
ให้รับประทานเห็ดหลินจือได้ตามปกติ
เห็ดหลินจือจัดว่าเป็นสมุนไพรจีที่มีความปลอดภัยสูงมาก ไม่มีพิษ
อยู่ในกลุ่มของยาอายุวัฒนะ ใช้ในการบำรุงร่างกายและ ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
การที่มีอาการปวดหัว หรือเวียนหัว
หรือปวดตามตัวเมื่อรับประทานเห็ดหลินจือนั่นเป็นอาการของโรคที่โต้ตอบกับเป็นหลินจือ
ซึ่งจะเป็นเฉพาะแรก ๆ ที่เริ่มรับประทานเห็ดหลินจือ ซึ่งอาการจะหายไปภายใน 2-3 วัน
หรือ 1อาทิตย์ และอาการโต้ตอบดังกล่าวมักจะสัมพันธ์กับโรคที่เป็น เช่น
ถ้าเป็นโรคเกี่ยวกับความดันมักจะเกิดอาการเวียนหัวมากขึ้นใน 2 วันแรกแล้วก็จะหายไป ส่วนเรื่องของอาการขับพิษออกจากร่างกายของเห็ดหลินจือนั้นโดยปกติสมุนไพรแล้วเกือบทุกชนิดจะขับสารพิษในร่างกายออกทางเหงื่อ
ปัสสาวะ อุจจาระ ตาหรือผิวหนัง เช่น มีผื่นที่ผิวหนัง มีขี้ตา ตาแดง อุจจาระเหลว
เหงื่อเหนียว เป็นต้น แล้วแต่คน บางคนมีการขับพิษน้อยจนสังเกตไม่ออกว่าขับพิษทางใด
9.
ถ้าร่างกายมีปฏิกิริยา
โต้ตอบกับเห็ดหลินจือหรืออาการขับสารพิษออกจากร่างกายแรงควรทำอย่างไร
คำตอบ กรณีที่ร่างกายรู้สึกรับปฏิกิริยา โต้ตอบไม่ไหว
ให้ลดขนาดการรับประทานเห็ดหลินจือลงก่อน เช่น ในช่วงแรกที่พึ่งเริ่มรับประทาน
ปกติจะรับประทานตอนตื่นนอนตอนเช้าหรือก่อนนอน อย่างละ 1 แคปซูล คือ ดอก 1 แคปซูล
และ ราก 1 แคปซูล ให้ลดการรับประทานคือ ให้ทานเฉพาะราก 2 แคปซูล ส่วนดอกงดทานไปก่อน
1 สัปดาห์ แล้วค่อยกลับมารับประทานตามปกติเนื่องจากรากมีคุณสมบัติช่วยบำรุง
ดอกมีคุณสมบัติช่วยบำบัด กรณีจำเป็นต้องบำรุงร่างกายก่อนบำบัด
10. หากร่างกายแข็งแรงแล้วจะลดหรือเลิกรับประทานเห็ดหลินจือได้หรือไม่
คำตอบ เมื่อใช้เห็ดหลินจือบำรุงร่ายกายจนแข็งแรงดีแล้ว
สามารถเลิกรับประทานเห็ดหลินจือได้ไม่มีผลอะไร แต่หากต้องการป้องกันไม่ให้เกิดโรค
แนะนำให้รับประทานต่อ แต่ลดปริมาณลงเหลือเพียง 2 เวลา อย่างละแคปซูลก็พอ คือ เช้าอย่างละแคปซูล
และก่อนนอนอย่างละแคปซูล
11.ทานเห็ดหลินจือติดต่อกันนาน จะมีผลเสียข้างเคียงหรือเป็นอันตรายหรือไม่
คำตอบ
เห็ดหลินจือเป็นยาอายุวัฒนะไม่มีผลเสียข้างเคียงและไม่เป็นอันตราย
สามารถรับประทานติดต่อกันได้นาน
12. จะรู้ได้อย่างไรว่าทานเห็ดหลินจือแล้วได้ผล
คำตอบ ลองสังเกตด้วยตนเองหรือไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลดู
เมื่อรับประทานเห็ดหลินจือไปแล้ว 3 เดือน ลองไปตรวจสุขภาพดู
สุขภาพน่าจะแข็งแรงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
13. ช่วงเวลาทานเห็ดหลินจือเวลาใดดีที่สุด
คำตอบ ช่วงเวลาทานเห็ดหลินจือเวลาที่ดีที่สุด
คือตอนตื่นนอนตอนเช้า
เพราะท้องว่างร่างกายจะดูดซึมสารประโยชน์จากเห็ดหลินจือได้ดี และตอนเช้าร่างกายได้เคลื่อนไหว
ทำให้เลือดสูบฉีดได้ดีด้วย ส่วนเวลาตอนเย็นก่อนอาหาร ก็เป็นอีกเวลาที่ดีเหมือนกัน
แต่ไม่เหมาะกับคนที่กินจุกจิกเพราะท้องไม่ว่างจริง
ส่วนเวลาก่อนนอนเป็นช่วงเวลาที่ดีและเหมาะกับการใช้ชีวิตของหลาย ๆคน
แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า การทานเห็ดหลินจือก่อนนอน ควรจะทานก่อนที่เราจะเข้านอนจริง ๆ
สักครึ่งชั่วโมง เพื่อให้เลือดสูบฉีดก่อน ซึ่งจะช่วยให้คนที่ร่างกายอ่อนเพลีย
ตื่นนอนตอนเช้าร่างกายสดชื่นขึ้น
การรับประทานเห็ดหลินจือ
สำหรับผู้ที่รับประทานเห็ดหลินจือใหม่ นั้น อาจจะรู้สึกมึนศรีษะ ปวดเมื่อย ปวดตามข้อ ง่วงนอน ผิวหนังเกิดอาการคัน อาเจียร อาการคล้ายท้องเสีย ท้องผูก มีปัสสาวะบ่อย หรือจะมีผลลักษณะอาการของโรคนั้น ๆ ถือเป็นปฎิกิริยาสะท้อนกลับ อันเป็นเรื่องปกติของการบำบัด ด้วยยาสมุนไพร แผนโบราณ เนื่องจากเมื่อตัวยาได้เริ่มเข้าไปบำบัดนั้นจะเข้าไปชะล้างสิ่งที่เป็นพิษ ในร่างกายให้สลายหรือเคลื่อนย้ายขับสารพิษ ออกจากร่างกาย จึงทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติดังกล่าว ซึ่งเป็นสัญญาณ ว่าร่างกายกำลังฟื้นตัวไม่ใช่ผลข้างเคียง ดังเช่น สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เมื่อรับประทาน เห็ดหลินจือแล้วอาจจะมีการ ขับถ่ายน้ำตาล ออกมามากผิดปกติ ส่วนผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์อาจเกิดอาการเจ็บปวดมากขึ้น โรคไต หรือผู้ป่วยที่ต้อง ล้างไต จะปวดเมื่อยตามข้อ เท้าจะบวม ร่างกายอ่อนเพลีย ซึ่งอาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นระยะเวลาหนึ่ง อาจจะ2-3 วัน หรือประมาณ 1 อาทิตย์ ก็จะกลับสู่สภาพปกติแล้วแต่สภาพร่างกาย อันแตกต่างกันของแต่ละคน ไม่ต้องตกใจ ให้รับประทานเห็ดหลินจือต่อไป อย่าหยุด หากมีผลทางอาการมาก ให้ลดจำนวนแคปซูลลง เมื่อมีอาการปกติ ให้รับประทานตามคำแนะนำต่อไป สำหรับผู้ป่วยที่กำลัง รับประทานยารักษาที่แพทย์สั่ง ก็สามารถรับประทานเห็ดหลินจือควบคู่กันไปได้ เป็นการเสริมการรักษา หรือร่วมรักษา นอกจากจะไม่เกิดอาการต่อต้านขึ้นแล้ว ยังช่วยขจัดผลข้างเคียง อันเกิดจากยาแผนปัจจุบัน และช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการชักนำยาดังกล่าว ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ดียิ่งขึ้น
การรับประทานมากน้อยเพียงใด ต้องขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย ของโรคและสภาพร่างกายของผู้ป่วย
ติดต่อสอบถาม คุณสุ 038-283565
087-7440417
ผมทานมากว่า 5 ปีแล้วเห็ดหลินจือกาโน
ตอบลบ