วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

เห็ดหลินจือกับทางการแพทย์และคำถามที่พบบ่อยที่สุด


เห็ดหลินจือทางการแพทย์-เห็ดหลินจือรักษาโรค

                                 เห็ดหลินจือกับทางการแพทย์

            สารสำคัญที่พบในเห็ดหลินจือกว่าร้อยชนิด มีสรรพคุณที่สำคัญทางการแพทย์ได้แก่

     - เห็ดหลินจือเป็นแอนติออกซิแดนต์ สามารถขจัดอนุมูลอิสระลดการเกิดของมะเร็ง  ป้องกันและต้าน   มะเร็ง
     - เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ลดอาการภูมิแพ้
     - ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด
     - ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยควบคุมอาการเบาหวาน
     - ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันในสมองและหัวใจ
     - บำรุงตับ ป้องกันตับจากสารพิษ
     - ช่วยบำบัดรักษาโรคไตเรื้อรัง ฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของไตให้ดีขึ้น
     - บำรุงร่างกาย
          
  คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ นำเห็ดหลินจือมารักษาไตเรื้อรัง ระบุว่าเห็ดหลินจือ ช่วยฟื้นฟูการทำงานของไต ทางเลือกใหม่รักษาโรคไตเรื้อรังด้วยสารสกัดเห็ดหลินจือ เผยผลทดสอบเบื้องต้นช่วยผู้ป่วยกลับสู่ภาวะปกติ ระบุสรรพคุณสร้างสมดุลให้ระบบภูิมิคุ้มกัน ลดอาการไตอักเสบ ภาวะไข่ขาวรั่วในปัสสาวะ แถมยังเพิ่มประสิทธิภาพระบบไหลเวียนโลหิต และเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของไต

รศ. พญ. ดร. นริสา  ฟูตระกูล ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ทีมวิจัยค้นพบวิธีรักษาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเนฟโฟรลิส ชนิด focal segmental sclerosis ที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยากดภูิมิคุ้มกัน เช่น สเตียรอยด์ โดยเปลี่ยนให้รับประทานสารสกัดจาก                    เห็ดหลินจือวันละ 750- 1,000 มิลลิกรัม ควบคู่กับการให้ยาขยายหลอดเลือด พบว่า ช่วยฟื้นฟูระบบการทำงานของไตให้ดีขึ้น อีึกทั้งภาวะเนื้อไตตายลดลงอย่างชัดเจน

หลังจากทำวิจัยแล้วพบว่า สาเหตุมาจากสารพิษในเลือด สารอนุมูลอิสระ และการเสียสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำให้สารซัยโตคายน์ เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเซลล์บุผิวหลอดเลือด ทำให้เกิดการหดรัดตัว ของหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้น จนเกิดความดันภายในไตเพิ่มสูงขึ้น และทำให้ไตเกิดภาวะขาดเลือดเกิดเนื้อไตตายได้

นักวิจัยกล่าว ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเนฟโฟรลิส ชนิด focal  segmental sclerosis จะมีอาการเนื้อตัวบวมอย่างเห็นได้ชัด และหากตรวจเลือดและปัสสาวะจะพบภาวะไข่ขาวรั่วในปัสสาวะมากกว่า 3.5 กรัมต่อวัน ส่งผลให้โปรตีนในเลือดต่ำ ปริมาณการหมุนเวียนในเลือดไม่เพียงพอ เลือดในร่างกายพร่อง ข้นหนืดก่่่่่่่อให้เกิดการอุดตัน และยังมีภาวะเผาผลาญไขมันผิดปกติ ไขมันในเลือดสูง ภาวะต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ไตมีการอักเสบ  เสื่อม และถูกทำลายจนเข้าสู่ภาวะไตวายในท้ายที่สุด

หลังจากเข้าใจถึงกลไกของสาเหตุโรคไตแล้วรศ.พญ. ดร.นริสา จึงได้นำเอาสารสกัดจากเห็ดหลินจือ
(Ganoderma Lucidum) มาทดลองกับผู้ป่วย เนื่องจากมีสรรพคุณในการช่วยฟื้นฟูระบบสมดุลของภูมิคุ้มกัน

สำหรับอาสาสมัครที่เข้ารับการรักษา เป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีอาการไข่ขาวรั่วในปัสสาวะต่อเนื่อง 5-10 ปี กำลังอยู่ในภาวะไตเสื่อมถอยลงอย่างช้า ๆ และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน หลังจากรักษาได้ราว 1 ปี พบว่าภาวะเสียสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันเข้าสู่ระดับปกติ ผู้ป่วยมีการทำงานของไตดีขึ้น ภาวะไข่ขาวรั่วในปัสสาวะลดลง และสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพของไตให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้

            ......................................................................................................................................

                                                 เห็ดหลินจือกับการรักษาโร
แนะนำให้อ่านหนังสือ "หลิงจือ กับ ข้าพเจ้า" เขียนโดย นพ. บรรเจิด   ตันติวิท ซึ่งอธิบายหลักการทำงานของเห็ดหลินจือ และประสบการณ์ในการรักษาเห็ดหลินจือให้แก่ผู้ป่วย ซึ่งคุณหมอได้เขียนไว้น่าอ่านมากราคาเล่มละ 160 บาทในที่นี้ขอประมวลความรู้ที่ได้จากหนังสือของ นพ. บรรเจิด  ตันติวิท เฉพาะบางเรื่อง

เห็ดหลินจือช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือด เห็ดหลินจือมีสารไตรเทอร์ปีนอยด์ (Triterpenoids) กรดกาโนเดอริค (Ganoderic acid) และกรดลูซิเดนิค (Lucidenic acid) ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือดไม่ให้มีมากเกินไป ซึ่งไขมันและคอเลสเตอรอลเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคหัวใจ มีรายงานผลการศึกษาทางคลินิกโดยนักวิจัยชาวญี่ปุ่นในผู้ป่วย 70 ราย หลังจากให้ผู้ป่วยกินเห็ดหลินจือแบบสกัดเป็นเวลา 3 เดือนพบว่าสามารถลดคอเลสเตอรอลได้ 74.2% ซึ่งตรงกันกับรายงานผลการศึกษาทางคลินิกที่มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์เมืองเซี่ยงไฮ้ พบว่าสามารถลดไขมันในเลือด คอเลสเตอรอลได้เช่นกัน ทำให้การไหลเีวียนของเลือดดีขึ้นและช่้วยลดการอุดตันภายในเส้นเลือดของอวัยวะต่าง ๆ ได้

เห็ดหลินจือ กับ โรคหัวใจ
เห็ดหลินจือ ป้องกันเส้นเลือดอุึดตันในสมองและหัวใจ (เส้นเลือดหัวใจตีบ) เห็ดหลินจือมีสารสำคัญที่เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ ซึ่งมีคุณสมบัติละลายลิ่มเลือดที่อุดตัน ไม่ให้ลิ่มเลือดเกาะตัวง่ายเกินไป จนเกิดการอุดตันของเส้นเลือด เห็ดหลินจือไม่ได้ช่วยแค่เส้นเลือดที่หัวใจเท่านั้น ยังรวมถึงเส้นเลือดทุกแห่ง รวมทั้งเส้นเลือดในสมองด้วย เห็ดหลินจือ จึงป้องกันการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ นอกจากนั้น       เห็ดหลินจือมีสารเยอร์มาเนียมที่ช่วยในการเพิ่มออกซิเจนที่สะสมในเนื้อเยื่อ เมื่ออวัยวะในร่างกายเช่น หัวใจ หรือสมอง ขาดออกซิเจนก็สามารถดึงออกซิเจนจากเนื้อเยื่อบริเวณนั้นทำให้รอดจากภาวะวิกฤต

เห็ดหลินจือช่วยบำบัดรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตายได้เพราะ
     1. เห็ดหลินจือสามารถละลายลิ่มเลือดไม่ให้อุดตันได้
     2. เห็ดหลินจือช่วยในการเพิ่มออกซิเจนที่สะสมในเนื้อเยื่อ ทำให้รอดพ้นหากเกิดสภาวะวิกฤตเมื่อหัวใจหรือสมองขาดออกซิเจน
     3. ช่วยลดไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือดไม่ให้มีมากเกินไป
     4. คนที่เป็นโรคหัวใจรักษาด้วยแผนปัจจุบันต้องรับประทานยาไปตลอด ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าการรับประทานยาแผนปัจจุบันไปนาน ๆ ตับจะเสื่อม เห็ดหลินจือยังช่วยบำรุงตับให้ดีขึ้นด้วย

เห็ดหลินจือกับโรคไต
นพ.บรรเจิด   ตันติวิท ได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับการนำเห็ดหลินจือมาบำบัดโรคไตไว้ในหนังสือ " หลิงจือ กับ ข้าพเจ้า" โดยให้เหตุผลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือช่วยรักษาโรคไตอักเสบ ไตวายได้ น่าจะเป็นเพราะ
     1. เห็ดหลินจือจะช่วยละลายใยแผลเป็นให้อ่อนตัว ไม่ให้ไปรัดเส้นเลือดที่เลี้ยงไต   เพื่อให้เลือดไหลไปเลี้ยงไตได้ จึงทำให้ไตทำงานได้ดีขึ้น
     2. เห็ดหลินจือมีสารนิวคลีโอไทด์ มีคุณสมบัติละลายลิ่มเลือด ไม่ให้ลิ่มเลือดเกาะตัวง่ายจนทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
     3. เห็ดหลินจือเป็นแอนติออกซิแดนต์สามารถขจัดอนุมูลอิสระได้
นอกจากนั้นเห็ดหลินจือมีโปรตีน Lz-8 ที่ปรับระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานเป็นปกติ รวมทั้งมีสาร
เยอร์มาเนียม และสารโพลีแซคคาไรด์ ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอีกด้วย

เห็ดหลินจือ กับ โรคตับ
ผลทางเภสัชวิทยาของเห็ดหลินจือ ในเรื่องของโรคตับ และพบว่าภายในเห็ดหลินจือมีสารสำคัญทางยาที่ใช้รักษาโรคตับ คือ
     1. สารโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) ในเห็ดหลินจือ มีสรรพคุณทางยาปรับปรุงการทำงานของตับ ปกป้องตับจากสารพิษ (Hepatoprotective activity ) โดยแสดงฤทธิ์ยับยั้งสารพิษ เช่น คาร์บอนเตตราคอลไรด์ โดยไม่ให้ทำลายเซลล์ตับ รวมถึงช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานดีขึ้น
     2. กลุ่มสารไตรเทอร์ปีนอยด์ ( Bitter Triterpenoids) ในเห็ดหลินจือ มีฤทธิ์ในการปกป้องบำรุงและรักษาโรคตับ ประกอบด้วย กรดกาโนเดอริค (Ganoderic acid) และกรดลูซิเดนิค ( Lucidenic acid) พบว่ามีฤทธิ์ต่อต้านสารพิษที่มีต่อตับ (Antihepatotoxie) และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในตับ (Cytotoxicty on hepatoma cells) ได้กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว
     3. โปรตีน Lz-8 ในเห็ดหลินจือ ช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานเป็นปกติไม่ผิดเพี้ยน รักษาโรคไวรัสตับ บี
     4. สารเยอร์มาเนียม (Germanium) ในเห็ดหลินจือ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยรักษามะเร็งตับได้

เห็ดหลินจือมีคุณสมบัติที่ช่วยโรคตับแข็งได้ ก็เพราะ
     1. เห็ดหลินจือช่วยทำให้ใยแผลเป็นที่ตับคลายตัว ไม่รัดเส้นเลือดและเนื้อเยื่อที่ตับ
     2. เห็ดหลินจือช่วยบำรุงตับ ฟื้นฟูการทำงานของตับ กระตุ้นการเกิดเซลล์ใหม่แทนเซลล์ที่ตายไป                                                                                                                                                         
     3.   เห็ดหลินจือช่วยปรับภูมิคุ้มกันไม่ให้ทำงานผิดเพี้ยนและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
     4. เห็ดหลินจือเป็นแอนติออกซิแดนต์ที่ดี สามารถขจัดอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งได้

ห็ดหลินจือ กับ โรคเบาหวาน
เห็ดหลินจือมีสารสำคัญทางยาที่ลดน้ำตาลในเลือด คือสารที่อยู่ในกลุ่มของ โพลีแซคคาไรด์ ได้แก่
กาโนเดอแรน เอ บี และซี (Ganoderans  A, B, C)  ช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือด ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของสารอินซูลินซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานให้แก่ร่างกาย ปัจจุบันได้มีการจดสิทธิบัตรสารสำคัญในเห็ดหลินจือคือ กาโนเดอแรน   เอ บี และซี (Ganoderans  A, B, C) ทำเป็นยารักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีข้อบ่งชี้ใช้ลดน้ำตาลในเลือด

เห็ดหลินจือ กับ โรคมะเร็ง
นพ. บรรเจิด   ตันติวิท ได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับเห็ดหลินจือกับการบำบัดรักษาโรคมะเร็งได้ไว้ในหนังสือ "หลิงจือ กับ ข้าพเจ้า" ซึ่งพอจะสรุปเหตุผลได้ดังนี้
     1. เห็ดหลินจือเป็นแอนติออกซิแดนต์ที่ดี สามารถขจัดอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งได้
     2. เห็ดหลินจือช่วยทำให้ศักย์ไฟฟ้าของเซลล์มะเร็งต่ำลง ทำให้เม็ดเลือดขาวเข้าไปต่อสู้ทำลายเซลล์มะเร็งได้
     3. เห็ดหลินจือช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายปรับสมดุลไม่ให้ทำงานผิดเพี้ยน เมื่อ
ภูมิคุ้มกันแข็งแรงก็สามารถต่อสู้กับเชื้อมะเร็งได้
     4. การทำคีโม นอกจากจะทำลายเซลล์มะเร็งแล้ว เซลล์ปกติบริเวณรอบข้างก็ถูกทำลายไปด้วย ซึ่งต่างจากเห็ดหลินจือที่เห็ดหลินจือทำงานผ่านระบบภูมิคุ้มกันคือ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงทำงานเป็นปกติไม่ผิดเพี้ยน แล้วให้ภูมิค้มกันของร่างกายเรานี้เป็นตัวจัดการกับเซลล์มะเร็งเอง ทำให้เซลล์ปกติอื่นไม่โดนทำลาย เพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถแยกแยะได้ว่าเซลล์ไหนเป็นเซลล์ดีหรือเซลล์ไม่ดี
     5. การทำคีโม มีผลข้างเคียงทำให้เม็ดเลือดขาวลดลง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเม็ดเลือดขาวแห้ง เพราะยาที่ใช้ทำคีโมมีพิษมาก เห็ดหลินจือสามารถช่วยกระตุ้นให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นได้ จึงลดผลข้างเคียงของการทำคีโมได้บ้าง
     6. คนที่เป็นโรคมะเร็ง มักจะทานยาแผนปัจจุบันเยอะ รวมถึงทำคีโมด้วย ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีว่าการทานยาแผนปัจจุบันมากเป็นเวลาติดต่อกัน มีผลข้างเคียงคือ ตับโดนทำลาย โดยเฉพาะการทำคีโมทำให้ตับเสื่อม เห็ดหลินจือช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพตับ ทำให้ตับทำงานได้ดีขึ้น
     7. เห็ดหลินจือมีความปลอดภัยสูงจัดเป็นยาบำรุงร่างกาย  ยาอายุวัฒนะทานติดต่อกันได้เป็นเวลานาน


อ้างอิง
หนังสือ  "หลิงจือ กับ ข้าพเจ้า"  โดย นพ.บรรเจิด   ตันติวิท
เห็ดหลินจือกับการรักษาโรค alternativecomplete.com
หนังสือ เห็ดหลินจือในการรักษาโรค "การแพทย์ผสมผสานและการใช้สมุนไพรรักษาโรค" โรงพยาบาลแม่ใจ จังหวัดพะเยาโดย สาธิต ไทยทัตกุล
     

 ติดต่อสอบถาม คุณสุ   038-283565
                                   087-7440417



คำแนะนำเพิ่มเติม

1.    ควรบริโภคเห็ดหลินจือขณะท้องว่าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึม(เห็ดหลินจือไม่ระคายกระเพาะอาหาร)
2.    กรณีผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง มีโรคประจำตัวหลายอย่างแนะนำให้ทานรากเห็ดหลินจือ 2 แคปซูล ตอนตื่นนอน 1 สัปดาห์ ก่อนเพื่อบำรุงร่างกาย หลังจากนั้นถึงเริ่มทานเห็ดหลินจือ
รากและดอก
3.    สำหรับผู้ที่ร่างกายมีการดูดซึมอาหารไม่ดี การบริโภควิตามินซี 1000 มิลลิกรัม เสริมระหว่างทานอาหาร 1 ครั้งต่อวัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารที่เป็นประโยชน์ของเห็ดหลินจือได้มากขึ้น สุขภาพจะแข็งแรงดีขึ้นเร็วแต่สำหรับผู้ที่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ปกติ ไม่จำเป็นต้องทานวิตามินซีเสริม เนื่องจากในรากเห็ดหลินจือมีวิตามินและแร่ธาตุครบถ้วนเพียงพออยู่แล้ว
4.    ในเวลาเช้าและกลางวัน ควรรับประทานก่อนอาหาร 1 ชม.หรืออย่างน้อย 30 นาที
5.    ตอนเย็น หรือ ก่อนนอน ให้ทานเห็ดหลินจือก่อนอนหรือหลังจากทานอาหารเย็นไปแล้วอย่างน้อย 2ชม. หรือทานเห็ดหลินจือก่อนอาหารเย็น 1ชม.แล้วแต่สะดวก ให้ยึดหลักการทานว่าทานตอนท้องว่าง(เห็ดหลินจือไม่ระคายกระเพราะอาหาร)
6.    กรณีที่ทานเห็ดหลินจือร่วมกับยาแผนปัจจุบันหรือสมุนไพรอื่น ให้ทานห่างกัน 1ชม. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัดรักษา ยาแผนปัจจุบันให้ปฏิบัติตามแพทย์สั่ง ส่วนเห็ดหลินจือให้ทานขณะท้องว่าง เช่น ยาแผนปัจจุบันแพทย์สั่งให้ทานหลังอาหาร เห็ดหลินจือก็ทานก่อนอาหารได้  แต่ถ้าต้องทานเห็ดหลินจือหลังอาหารให้ทานเห็ดหลินจือหลังจากทานอาหารไปแล้ว 2 ชม
7.    ถ้าเป็นโรคกระเพาะให้ทานหลินจือหลังอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง
          
     รวมคำถามที่พบบ่อยที่สุด 12 คำถาม
1.    เห็ดหลินจือตราจีอี ผลิตที่ไหนและใช้สารเคมีหรือไม่
คำตอบ เห็ดหลินจือ ตราจีอี ลิขสิทธิ์ของ บริษัท กาโน เอ็กเซล เอ็นเตอร์ไพรส์ สำนักงานใหญ่ประเทศมาเลเซีย สกัดจากเห็ดหลินจือแดง 6 สายพันธ์ ได้แก่สายพันธุ์แดง คิมซัน ,ยูอี,นกยูงรำแพน,รูปสมอง,รูปหัวใจ และ รูปตับ ที่มีคุณสมบัติทางยาดีที่สุด        และบริษัท กาโน เอ็กเซล เอ็นเตอร์ไพรส์ มีโรงเพาะเห็ดหลินจือที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีโรงงานผลิตเป็นของตนเองตั้งอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ไม่มีการใช้การเคมีหรือยาค่าแมลงหรือฮอร์โมนใดๆทั้งสิ้นเมื่อสกัดและบรรจุเรียบร้อยแล้ว จะส่งมาที่สาขาลูกค้าในประเทศต่างๆ ส่วนสาขาในประเทศไทย ใช้ชื่อบริษัทกาโนเอ็กเซล เอ็นเตอร์ไพรส์(ประเทศไทย) จำกัด เพื่อทำ packaging ของไทย ซึ่งโรงงานตั้งอยู่ที่จังหวัดปัตตานี ศูนย์ใหญ่ในการจัดจำหน่ายอยู่ที่กรุงเทพมหานคร

2.    ดอกเห็ดหลินจือ ตราจีอี สกัดอย่างไร
คำตอบ เห็ดหลินจือ ตราจีอี ลิขสิทธิ์ของ บริษัท กาโน เอ็กเซล เอ็นเตอร์ไพรส์ สกัดด้วยเทคโนโลยีการสกัดเย็น โดยใช้ดอกเห็นหลินจือแดงทั้ง 6 สายพันธุ์ ซึ่งดอกเห็ดหลินจือนั้นต้องที่มีอายุ 4-6 เดือน เอามาผ่านการฆ่าเชื้อและสกัดโดยใช้ความเย็นที่อุณหภูมิต่ำถึงขั้นติดลบมากๆและเพิ่มอุณหภูมิสูงขึ้นด้วยความรวดเร็ว เพื่อฆ่าเชื้อและเปิดดอกสปอร์     และใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการดูดแยกเอาสปอร์ของดอกเห็ดหลินจือออกก่อน เพื่อไม่ให้โดนความร้อนหรือเสียคุณค่าทางยา เมื่อดอกเห็ดหลินจือสกัดเรียบร้อยแล้วจะมารวมกับสปอร์ก่อนที่จะทำการบรรจุใส่แคปซูลดังนั้น       ดอกเห็ดหลินจือ ตรา จีอี จึงเป็นเป็นดอกเห็ดหลินจือแดงสกัดผสมกับสปอร์เห็ดหลินจือ
3.    ทำไมถึงแนะนำให้ทานดอกเห็ดหลินจือคู่กับรากเห็ดหลินจือ
คำตอบ เนื่องจากดอกเห็ดหลินจือแดงมีสารประกอบที่เป็นตัวยาสำคัญหลายชนิดเรานิยมใช้      ดอกเห็ดหลินจือแดงมาบำบัดรักษาโรคและที่นิยมกันมากคือใช้ในการบำรุงร่างกาย     แต่เมื่อนำ    ดอกเห็ดหลินจือมาใช้ร่วมกันพบ       ว่าการบำบัดรักษาโรคและการบำรุงร่างกายดีขึ้นกว่าการใช้     ดอกเห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียว     เนื่องจากรากเห็ดหลินจือมีวิตามินและแร่ธาตุที่ครบถ้วนช่วยในการบำรุงร่างกายได้ดี และยังมีสารโพลีซัคคาไรด์และสารเยอร์มาเนี่ยมในปริมาณที่สูงช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบำบัดรักษาได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นในการบำบัดรักษาและป้องกันโรคนั้น จึงแนะนำให้ใช้ดอกเห็ดหลินจือและรากเห็ดหลินจือร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัดรักษารวมทั้งบำรุงร่างกายให้แข็งแรงได้เร็วกว่า เมื่อเทียบกับการใช้ดอกเห็ดหลินจือเพียงอย่างเดียว
4.    มีวิธีทานเห็ดหลินจืออย่างไร
คำตอบ  ในระยะ 1-2 สัปดาห์แรกที่พึ่งเริ่มรับประทาน ควรรับประทานเห็ดหลินจือในปริมาณน้อยก่อนเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว จะรับประทานตอนเช้าหรือก่อนนอนก็ได้ขึ้นกับความสะดวกเมื่อร่างกายปรับตัวแล้วถึงเพิ่มปริมาณการบริโภค     ในการบริโภคควรบริโภคในขณะท้องว่าง         (เห็ดหลินจือไม่ระคายเคืองกระเพราะอาหาร)       เช่น ตอนตื่นนอนตอนเช้า หรือ ก่อนนอน หรือก่อนอาหาร อย่างน้อย 30 นาที ถ้าจะให้ดีก็   1 ชม.    หากจะรับประทานหลังอาหาร     ควรรับประทานหลังจากอาหารไปแล้ว 2 ชม.ในกรณีที่รับประทานเห็ดหลินจือร่วมกับยาแผนปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ในการบำบัดรักษา 2 ต่อ คือการได้ประโยชน์จากการรักษายาแผนปัจจุบัน และประโยชน์จากการบำบัดด้วยเห็ดหลินจือ แนะนำให้บริโภคเห็ดหลินจือกับยาแผนปัจจุบันห่างกัน 1 ชม. เพื่อประโยชน์สูงสุดไม่ควรรับประทานพร้อมกัน แต่โดยปกติแล้วยาแผนปัจจุบันจะรับประทานหลังอาหารในขณะที่เห็ดหลินจือจะรับประทานก่อนอาหาร หรือไม่ก็ก่อนนอน

5.    มีวิธีการทดสอบว่าเป็นเห็ดหลินจือสกัดอย่างไร
คำตอบ ในการทดสอบเห็ดหลินจือควนทดสอบโดยใช้น้ำที่อุณหภูมิปกติ ไม่ใช่น้ำร้อน เพื่อรักษาคงคุณภาพของสปอร์เห็ดหลินจือ เพราะสปอร์เห็ดหลินจือเมื่อผ่านความร้อนคุณค่าจะลดลง  เพื่อความสะดวกในการทดสอบให้ถอดแคปซูลออกเทเอา เฉพาะตัวยาเห็ดหลินจือลงในแก้วน้ำเทน้ำตามลงเล็กน้อย    คนให้ละลายจะสังเกตได้ว่าเห็ดหลินจือจะละลายน้ำง่ายถ้าเป็นรากเห็ดหลินจือจะมีสีขาวนวล ถ้าเป็นดอกเห็ดหลินจือแดงสกัดผสมกับสปอร์ จะมีสีน้ำตาลแดง     และมีสปอร์เห็ดหลินจือปนอยู่ หากมีสีน้ำตาลแดงแต่ไม่มีสปอร์ แสดงว่าเป็นดอกเห็ดหลินจือแดงสกัดเพียงอย่างเดียวไม่ผสมสปอร์ถ้าเห็ดหลินจือละลายยาก และมีขี้เลื่อหรือเศษไม้แสดงว่าเป็นหลินจือบดธรรมดาไม่ใช่เห็ดหลินจือสกัด ส่วนในการทดสอบเปลือก แคปซูลทำจากแป้งจริงหรือไม่ ให้ทดสอบกับน้ำร้อน  เนื่องจากแคปซูลที่ทำจากแป้งจะละลายน้ำได้ดีในน้ำร้อนหรือกระเพาะอาหาร
6.    ถ้าป่วยเป็นโรคมะเร็งและทำคีโมสามารถรับประทานเห็ดหลินจือด้วยได้หรือไม่
คำตอบ  ทำคีโมสามารถรับประทานเห็ดหลินจือร่วมด้วยได้  และเห็ดหลินจือยังช่วยลดอาการ   ข้างเคียงที่เกิดจากการทำคีโมได้ด้วยการรักษามะเร็งด้วยการทำคีโม จะมีผลเสียมากเนื่องจากยาที่ใช้ในการทำคีโมมีพิษสูง จะระงับการผลิตเม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวลดลง ร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากเม็ดเลือดขาวเป็นส่วนสำคัญ ของระบบภูมิคุ้มกัน การรับประทานเห็ดหลินจือจะช่วยให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดขาวมากขึ้น เพื่อรักษาระดับความสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน เห็ดหลินจือจึงช่วยลดผลข้างเคียงที่เกิดจากการทำคีโมได้
7.    จำเป็นต้องรับประทานวิตามินซี 1000 มิลลิกรัมด้วยหรือไม่
คำตอบ สำหรับผู้ที่ระบบการดูดซึมสารอาหารดี ไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินซี เพราะใน     รากเห็ดหลินจือมีวิตามินทีมากเพียงพออยู่แล้ว   แต่สำหรับบางท่านที่ระบบการดูดซึมไม่ค่อยดี   การรับประทานวิตามินซีร่วมด้วยจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารโพลีซัคคาไรด์ (Polysaccharides) ของเห็ดหลินจือง่ายขึ้น และช่วยในการฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงได้เร็ว การทานวิตามินซี 1000 มิลลิกรัม ไม่มีอันตรายต่อร่างกายเนื่องจากวินามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายสามารถขับออกทางปัสสาวะ ในการรับประทานวิตามินซี ควรรับประทานระหว่างทานอาหาร หรือหลังอาหารมื้อใดก็ได้ 1 เม็ดต่อวัน แต่ไม่ควรทานวิตามินซีก่อนอาหารเนื่องจากจะระคายเคืองกระเพาะ
8.    ทานเห็ดหลินจือช่วงแรกมีอาการปวดหัว เวียนหัว ปวดตามตัว เป็นอาการแพ้เห็ดหลินจือ หรือไม่ ต้องหยุดทานเห็ดหลินจือหรือเปล่า
คำตอบ ไม่ใช่เป็นอาการแพ้เห็ดหลินจือ ให้รับประทานเห็ดหลินจือได้ตามปกติ เห็ดหลินจือจัดว่าเป็นสมุนไพรจีที่มีความปลอดภัยสูงมาก ไม่มีพิษ อยู่ในกลุ่มของยาอายุวัฒนะ ใช้ในการบำรุงร่างกายและ ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย การที่มีอาการปวดหัว หรือเวียนหัว หรือปวดตามตัวเมื่อรับประทานเห็ดหลินจือนั่นเป็นอาการของโรคที่โต้ตอบกับเป็นหลินจือ ซึ่งจะเป็นเฉพาะแรก ๆ ที่เริ่มรับประทานเห็ดหลินจือ ซึ่งอาการจะหายไปภายใน 2-3 วัน หรือ 1อาทิตย์   และอาการโต้ตอบดังกล่าวมักจะสัมพันธ์กับโรคที่เป็น เช่น ถ้าเป็นโรคเกี่ยวกับความดันมักจะเกิดอาการเวียนหัวมากขึ้นใน 2 วันแรกแล้วก็จะหายไป ส่วนเรื่องของอาการขับพิษออกจากร่างกายของเห็ดหลินจือนั้นโดยปกติสมุนไพรแล้วเกือบทุกชนิดจะขับสารพิษในร่างกายออกทางเหงื่อ ปัสสาวะ อุจจาระ ตาหรือผิวหนัง เช่น มีผื่นที่ผิวหนัง มีขี้ตา ตาแดง อุจจาระเหลว เหงื่อเหนียว เป็นต้น แล้วแต่คน บางคนมีการขับพิษน้อยจนสังเกตไม่ออกว่าขับพิษทางใด
9.    ถ้าร่างกายมีปฏิกิริยา โต้ตอบกับเห็ดหลินจือหรืออาการขับสารพิษออกจากร่างกายแรงควรทำอย่างไร
คำตอบ กรณีที่ร่างกายรู้สึกรับปฏิกิริยา โต้ตอบไม่ไหว ให้ลดขนาดการรับประทานเห็ดหลินจือลงก่อน เช่น ในช่วงแรกที่พึ่งเริ่มรับประทาน ปกติจะรับประทานตอนตื่นนอนตอนเช้าหรือก่อนนอน อย่างละ 1 แคปซูล คือ ดอก 1 แคปซูล และ ราก 1 แคปซูล ให้ลดการรับประทานคือ ให้ทานเฉพาะราก 2 แคปซูล ส่วนดอกงดทานไปก่อน 1 สัปดาห์ แล้วค่อยกลับมารับประทานตามปกติเนื่องจากรากมีคุณสมบัติช่วยบำรุง ดอกมีคุณสมบัติช่วยบำบัด กรณีจำเป็นต้องบำรุงร่างกายก่อนบำบัด
10. หากร่างกายแข็งแรงแล้วจะลดหรือเลิกรับประทานเห็ดหลินจือได้หรือไม่
คำตอบ เมื่อใช้เห็ดหลินจือบำรุงร่ายกายจนแข็งแรงดีแล้ว สามารถเลิกรับประทานเห็ดหลินจือได้ไม่มีผลอะไร แต่หากต้องการป้องกันไม่ให้เกิดโรค แนะนำให้รับประทานต่อ แต่ลดปริมาณลงเหลือเพียง 2 เวลา อย่างละแคปซูลก็พอ คือ เช้าอย่างละแคปซูล และก่อนนอนอย่างละแคปซูล
11.ทานเห็ดหลินจือติดต่อกันนาน จะมีผลเสียข้างเคียงหรือเป็นอันตรายหรือไม่
คำตอบ เห็ดหลินจือเป็นยาอายุวัฒนะไม่มีผลเสียข้างเคียงและไม่เป็นอันตราย สามารถรับประทานติดต่อกันได้นาน
12. จะรู้ได้อย่างไรว่าทานเห็ดหลินจือแล้วได้ผล
คำตอบ ลองสังเกตด้วยตนเองหรือไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลดู เมื่อรับประทานเห็ดหลินจือไปแล้ว 3 เดือน ลองไปตรวจสุขภาพดู สุขภาพน่าจะแข็งแรงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
13.  ช่วงเวลาทานเห็ดหลินจือเวลาใดดีที่สุด
คำตอบ ช่วงเวลาทานเห็ดหลินจือเวลาที่ดีที่สุด คือตอนตื่นนอนตอนเช้า เพราะท้องว่างร่างกายจะดูดซึมสารประโยชน์จากเห็ดหลินจือได้ดี  และตอนเช้าร่างกายได้เคลื่อนไหว ทำให้เลือดสูบฉีดได้ดีด้วย ส่วนเวลาตอนเย็นก่อนอาหาร ก็เป็นอีกเวลาที่ดีเหมือนกัน แต่ไม่เหมาะกับคนที่กินจุกจิกเพราะท้องไม่ว่างจริง ส่วนเวลาก่อนนอนเป็นช่วงเวลาที่ดีและเหมาะกับการใช้ชีวิตของหลาย ๆคน แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า การทานเห็ดหลินจือก่อนนอน ควรจะทานก่อนที่เราจะเข้านอนจริง ๆ สักครึ่งชั่วโมง เพื่อให้เลือดสูบฉีดก่อน ซึ่งจะช่วยให้คนที่ร่างกายอ่อนเพลีย ตื่นนอนตอนเช้าร่างกายสดชื่นขึ้น

การรับประทานเห็ดหลินจือ

      สำหรับผู้ที่รับประทานเห็ดหลินจือใหม่ นั้น อาจจะรู้สึกมึนศรีษะ ปวดเมื่อย ปวดตามข้อ ง่วงนอน ผิวหนังเกิดอาการคัน อาเจียร อาการคล้ายท้องเสีย ท้องผูก มีปัสสาวะบ่อย หรือจะมีผลลักษณะอาการของโรคนั้น ๆ ถือเป็นปฎิกิริยาสะท้อนกลับ อันเป็นเรื่องปกติของการบำบัด ด้วยยาสมุนไพร แผนโบราณ เนื่องจากเมื่อตัวยาได้เริ่มเข้าไปบำบัดนั้นจะเข้าไปชะล้างสิ่งที่เป็นพิษ ในร่างกายให้สลายหรือเคลื่อนย้ายขับสารพิษ ออกจากร่างกาย จึงทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติดังกล่าว ซึ่งเป็นสัญญาณ ว่าร่างกายกำลังฟื้นตัวไม่ใช่ผลข้างเคียง  ดังเช่น สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เมื่อรับประทาน   เห็ดหลินจือแล้วอาจจะมีการ ขับถ่ายน้ำตาล ออกมามากผิดปกติ ส่วนผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์อาจเกิดอาการเจ็บปวดมากขึ้น โรคไต หรือผู้ป่วยที่ต้อง  ล้างไต จะปวดเมื่อยตามข้อ เท้าจะบวม ร่างกายอ่อนเพลีย ซึ่งอาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นระยะเวลาหนึ่ง อาจจะ2-3 วัน หรือประมาณ 1 อาทิตย์ ก็จะกลับสู่สภาพปกติแล้วแต่สภาพร่างกาย อันแตกต่างกันของแต่ละคน  ไม่ต้องตกใจ ให้รับประทานเห็ดหลินจือต่อไป อย่าหยุด หากมีผลทางอาการมาก ให้ลดจำนวนแคปซูลลง เมื่อมีอาการปกติ ให้รับประทานตามคำแนะนำต่อไป สำหรับผู้ป่วยที่กำลัง รับประทานยารักษาที่แพทย์สั่ง ก็สามารถรับประทานเห็ดหลินจือควบคู่กันไปได้ เป็นการเสริมการรักษา หรือร่วมรักษา นอกจากจะไม่เกิดอาการต่อต้านขึ้นแล้ว ยังช่วยขจัดผลข้างเคียง อันเกิดจากยาแผนปัจจุบัน และช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการชักนำยาดังกล่าว ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ดียิ่งขึ้น
     การรับประทานมากน้อยเพียงใด ต้องขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย ของโรคและสภาพร่างกายของผู้ป่วย


 ติดต่อสอบถาม คุณสุ   038-283565
                                    087-7440417



1 ความคิดเห็น: